Share on
×

Share

Quantum Leap: ทางรอดไทยในสมรภูมิ AI

ในบริบทโลกปัจจุบันที่พลวัตทางเทคโนโลยีขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยอัตราเร่งแบบทวีคูณ การดำรงสถานะของประเทศไทยท่ามกลางสมรภูมินี้กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญที่สุด เมื่อ “เวลา” กลายเป็นต้นทุนที่มีค่ามหาศาล และความล่าช้าเพียงเสี้ยววินาทีอาจหมายถึงความล้าหลังทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว

บทความนี้จะนำท่านไปสำรวจวิสัยทัศน์และข้อเสนอเชิงนโยบายจากเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนมุมมองด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสองนักคิดและนักบริหารชั้นนำของประเทศ ศาสตราจารย์ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หัวหน้าพรรคไทยก้าวใหม่ และ ดร.การดี เลียวไพโรจน์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้ร่วมกันสะท้อนความจริงที่น่าตระหนกของสภาวะการขาดแคลนบุคลากรด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างวิกฤติ พร้อมทั้งนำเสนอยุทธศาสตร์การผ่าทางตันด้วยแนวคิด “Quantum Leap” หรือการพัฒนาแบบก้าวกระโดด เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยจากการเป็นเพียงผู้บริโภคเทคโนโลยี สู่การเป็นผู้กำหนดทิศทางและสร้างมูลค่าเพิ่มที่ยั่งยืนบนเวทีโลก

สมรภูมิ “คน” ที่เสียเปรียบ: เมื่อความต้องการสวนทางกับการผลิต

หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไม่ได้อยู่ที่เครื่องจักรราคาแพง แต่อยู่ที่ “ทุนมนุษย์” ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤติอย่างหนัก ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ ได้ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงที่น่าวิตกเกี่ยวกับสภาวะขาดแคลนบุคลากรด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยระบุว่า ภาคอุตสาหกรรมของไทยมีความต้องการวิศวกรด้าน AI สูงถึงหลักหมื่นคนต่อปี แต่สถาบันการศึกษาในประเทศกลับมีศักยภาพในการผลิตบุคลากรกลุ่มนี้ได้ไม่ถึง 500 คนต่อปี ในขณะที่ประเทศคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนาม ได้ตั้งเป้าหมายการผลิตวิศวกรด้านนี้ไว้สูงถึงหนึ่งแสนคน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านี่คือสมรภูมิ (Battleground) ที่ชี้ชะตาอนาคตของชาติ และหากไม่มีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ประเทศไทยอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันอย่างถาวร

ดร.การดี ได้ขยายความในประเด็นนี้เพิ่มเติม โดยมองลึกไปถึงปัญหาเชิงโครงสร้างคุณภาพ กล่าวคือ ปัญหาไม่ได้จบแค่จำนวนคนที่ไม่เพียงพอ แต่ยังรวมถึงคุณภาพที่ไม่ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน งานที่มีมูลค่าสูงและรายได้ดีกำลังรอคนทำงานอยู่ แต่ระบบการศึกษาเดิมยังไม่สามารถผลิตคนที่มีทักษะพร้อมใช้งาน (Skill Matching) ออกมาได้ทันท่วงที ทำให้เกิดภาวะที่งานรอคน และคนก็หางานที่ตรงใจไม่ได้

ยุทธศาสตร์ “ก้าวกระโดด” ด้วยการดึงมันสมองระดับโลก

เมื่อพิจารณาจากฐานรากเดิมที่เปราะบาง การพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไปอาจไม่ทันการณ์ ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ จึงเสนอแนวทางที่เรียกว่า “การก้าวกระโดด” (Quantum Leap) ซึ่งหมายถึงการข้ามขั้นตอนเพื่อไปสู่ความสำเร็จที่รวดเร็วยิ่งขึ้น วิธีการที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดคือการดึงดูดคนเก่งที่สุดในโลกให้เข้ามาทำงานและอยู่อาศัยในประเทศไทย โดยเปรียบเทียบกับโมเดลความสำเร็จของการจัดตั้งมหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล (CMKL University) ที่เกิดจากความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน (Carnegie Mellon) สถาบันชั้นนำระดับโลกด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์

การดึงสถาบันหรือบุคลากรระดับโลกเข้ามา ไม่ใช่เพียงเพื่อชื่อเสียง แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เปิดโอกาสให้เด็กไทยได้เรียนรู้และทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญตัวจริง เป็นการ “ขี่คอยักษ์” เพื่อให้มองเห็นได้ไกลขึ้นและก้าวไปข้างหน้าได้เร็วกว่าการพยายามลองผิดลองถูกด้วยตัวเองเพียงลำพัง

รู้เท่าทันเกมการลงทุน: เปลี่ยนจากการเป็น “ผู้ถูกเลือก” เป็น “ผู้ต่อรอง”

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือมุมมองต่อการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มทุนจาก “ประเทศทางตอนเหนือ” ที่มักยกขบวนมาทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ตั้งแต่วัตถุดิบ เทคโนโลยี ไปจนถึงแรงงาน ทำให้ประเทศไทยในฐานะเจ้าบ้านแทบไม่ได้รับผลประโยชน์จากการจ้างงานหรือการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) เท่าที่ควร

ในเรื่องนี้ ดร.การดี เสนอว่า ประเทศไทยต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการวัดความสำเร็จใหม่ จากเดิมที่เคยวัดกันด้วยเม็ดเงินลงทุน (Fund Inflow) เพียงอย่างเดียว มาสู่การวัดที่ “คุณภาพของงาน” (Quality Jobs) ที่เกิดขึ้นจริง และระดับของการถ่ายทอดองค์ความรู้สู่คนไทย เราไม่ควรยินยอมให้ประเทศเป็นเพียงทางผ่าน หรือเป็นเพียงฐานข้อมูลให้ต่างชาติมาใช้ประโยชน์ แต่ต้องสร้างอำนาจต่อรองเพื่อดึงดูดให้เกิดการพัฒนาทักษะและการสร้างนวัตกรรมร่วมกัน โดยมองว่าข้อมูลภาครัฐและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลคือสาธารณูปโภค (Public Goods) ที่คนไทยต้องได้ประโยชน์สูงสุด

สร้างคนจากรากฐาน: ปลูกฝัง “สามเหลี่ยมแห่งปัญญา” และ “จิตวิญญาณนักสู้”

เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ดร.การดี ได้นำเสนอโมเดล “สามเหลี่ยมการสร้างคน” ที่เริ่มต้นจากการสร้างแรงบันดาลใจ (Inspire) และทักษะการเอาตัวรอด (Survival Skill) ให้กับเยาวชนตั้งแต่ระดับพื้นฐาน ก่อนจะต่อยอดไปสู่การคิดวิเคราะห์เชิงลึกและการสร้างนวัตกรรมในระดับอุดมศึกษา โดยระบบการศึกษาต้องยืดหยุ่นพอที่จะรองรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต ผ่านระบบธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) และการเติมทักษะแบบทันเวลา (Just-in-time Skill) เพื่อให้คนทำงานสามารถปรับตัวเท่าทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปทุกวัน

ทว่า ความรู้เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หากขาด “ใจ” ที่จะสู้ ศาสตราจารย์ สุชัชวีร์ ทิ้งท้ายด้วยข้อคิดที่ชวนตระหนักว่า คนไทยต้องสร้าง “จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้” (Fighting Spirit) ให้เกิดขึ้น เราไม่ควรพอใจกับการเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนบ้านที่ใกล้เคียงกัน แต่ต้องกล้าตั้งเป้าหมายที่จะเอาชนะผู้นำระดับโลก อย่างที่มาเลเซียมองสิงคโปร์เป็นคู่แข่ง หรือจีนที่มองสหรัฐอเมริกาเป็นเป้าหมาย การมีเป้าหมายที่ท้าทายจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด

ความต่อเนื่องและการบริหารโดยมืออาชีพ

ท้ายที่สุด การจะขับเคลื่อนนโยบายเหล่านี้ให้เป็นจริงได้ จำเป็นต้องอาศัยกลไกการบริหารประเทศที่มีความต่อเนื่องและเข้าใจบริบทของเทคโนโลยีอย่างถึกซึ้ง ดร.การดี เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมี “เทคโนแครต” (Technocrat) หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เข้ามาบริหารกระทรวงสำคัญ เพื่อให้การวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาคนดำเนินไปอย่างมีทิศทาง ไม่สะดุดหยุดลงตามวาระทางการเมือง เพราะในสนามรบแห่งเทคโนโลยี เวลาไม่เคยคอยใคร และประเทศไทยไม่มีโอกาสมากพอที่จะเสียเวลาไปกับการเริ่มต้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า การผนึกกำลังระหว่างภาครัฐที่มีวิสัยทัศน์ ภาคเอกชนที่เข้มแข็ง และภาคการศึกษาที่ปรับตัวเร็ว จึงเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะไขประตูสู่อนาคตที่ยั่งยืน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ชี้ชะตา 2026: ‘ร่างพ.ร.บ. สตาร์ตอัป’ เดิมพันสุดท้ายกู้ชีพวิกฤติทุนไหลออก

Next Stage การศึกษาไทย: ใช้ AI ‘ลดเหลื่อมล้ำ’ สร้างคนให้เหนือเครื่องจักร

×

Share

ผู้เขียน