อีกแค่เดือนกว่า ๆ ประเทศไทยก็จะเลือกตั้งใหญ่ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ปี่กลองการเมืองเริ่มโหม โรงบรรยากาศเริ่มคึกคัก ขณะเดียวกัน ปีนี้เป็นห้วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงถดถอยกว่าทุกปี เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสะดุดทุกตัว อีกทั้งยังเป็นช่วงสูญญากาศ เพราะมีรัฐบาลชั่วคราวบริหารประเทศหลังจากที่รัฐบาลอนุทินยุบสภาฯ ต้องรอรัฐบาลใหม่คาดว่าอีก 6 ข้างหน้า จึงค่อนข้างแน่ชัดว่าปีนี้ GDP ของไทยจะโตไม่เกิน 2.2% และปีหน้าจะยิ่งหนักคาดว่าอาจจะโตแค่ 1.6%เท่านั้น
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจไทยถดถอย เป็นปัญหาการคลังเรื้องรังมานาน หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้นทุกปี นั่นคือ “นโยบายประชานิยม” ที่พรรคการเมืองนำมาหาเสียงซื้อใจประชาชนโดยเฉพาะชาวบ้านระดับรากหญ้า ไม่เฉพาะนักเลือกตั้งเท่านั้น แม้แต่รัฐบาลทหารที่รัฐประหารคั่นเวลา ก็ยังนำนโยบายประชาชนมาซื้อใจประชาชน กลายเป็นว่า ตั้งแต่ปี 2544 รัฐบาลไทยรักไทย ต้นตำรับหาเสียงด้วยนโยบายประชานิยม จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 24 ปีที่ประเทศไทยติดหล่มจมปลักอยู่กับนโยบายประชานิยม ทุกวันนี้ยังขึ้นจากหล่มไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคการเมืองต่าง ๆ ก็คงจะงัดนโยบายประชานิยมออกมาเกทับบลั๊ฟแหลกกันดุเดือดเช่นเดิม ตอนนี้บางพรรคเริ่มปล่อยออกมา เช่น เพื่อไทยออกนโยบายใหญ่โต แก้หนี้นอกระบบด้วยการให้สินเชื่อรายละ 500,000 บาท ดอกเบี้ยต่ำโดยไม่มีหลักประกันไปโป๊ะหนี้นอกระบบ ส่วนคนที่เป็นหนี้เสีย (NPL) ไม่เกิน 200,000 บาทจ่ายเพียง 10% หรือ 20,000 บาทปิดหนี้ได้ หนี้เกษตรกรพักเงินต้นดอกเบี้ย 3 ปีวงเงินไม่เกิน 500,000 บาทหรือนโยบายล้างหนี้วัยเกษียณ เป็นต้น เร็ว ๆ นี้พรรคภูมิใจไทย ประชาชาชน ประชาธิปัตย์คงจะออกนโยบายเพื่อช่วงชิงคะแนนนิยมเช่นกัน จนหลายคนเป็นห่วงว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะกลายเป็นเส้นทางนำไปสู่หายยะทางเศรษฐกิจจริง ๆ
อย่าลืมว่าตลอดเวลา 24 ปีที่ประเทศไทยอยู่ในวังวนประชานิยม อาจจะไม่ยาวนานเท่ากับอาร์เจนตินา แต่ก็นานพอที่หยั่งรากลึกจนกลายเป็นวัฒนธรรมการเมืองไปแล้ว หากย้อนไปในยุคไทยรักไทย ที่จุดประกายประชานิยมจนชนะใจประชาชนถล่มทะลาย เช่น กองทุนหมู่บ้านที่อัดฉีดเงินสู่รากหญ้า นโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรคเป็นนโยบายปฏิวัติระบบสาธารณสุข นโยบาย OTOP ที่เป็นการจ้างงานในชนบท
แม้จะประสบความสำเร็จได้รับการยอมรับ โดยเฉพาะนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ที่ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชน แต่ก็มีส่วนเบียดยังงบประมาณทำให้ไม่มีเม็ดเงินไปลงทุนในด้านอื่น ๆ และยังเป็นนโยบายที่สร้างภาระงบประมาณและสร้างหนี้มาสู่คนรุ่นหลัง
ประชานิยมบางนโยบายได้สร้างความเสียหายให้กับงบประมาณแผ่นดินมหาศาล เช่น โครงการจำนำข้าวในสมัยนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นการบิดเบือนกลไกตลาดอย่างรุนแรง นำไปสู่ภาระการคลังมหาศาล โดยประเมินความเสียหายราว 400,000 – 900,000 ล้านบาท และยังมีการทุจริตคอรัปชั่น ส่วนโครงการรถคันแรกก็เป็นชนวนที่ทำให้หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นภาระในปัจจุบัน
แม้นโยบายประชานิยมจะเริ่มในสมัยไทยรักไทย ต่อมาหลาย ๆ พรรคก็ใช้นโยบายประชานิยมมาใช้ในการสร้างคะแนนนิยม เช่น นโยบาย ประกันราคาข้าว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง ดิจิทัล วอลเล็ต ล่าสุด นโยบายคนละครึ่งพลัส แม้แต่รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารก็ยังต้องใช้นโยบายประชานิยม เช่น โครงการคนละครึ่ง สวัสดิการแห่งรัฐ มาตรการเยียวยาผลกระทบจากโควิด 19 เป็นต้น
ที่น่าเป็นห่วง มีงานวิจัยหลาย ๆ ชิ้น ชี้ให้เห็นสัญญาณอันตรายจากนโยบายประชานิยมของไทย เริ่มคล้าย ๆ กับประเทศอาร์เจนตินา ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศทีมักถูกยกเป็นตัวอย่างประเทศที่ล้มเหลวจากนโยบายประชานิยม เพราะการเมืองเลือกเอาใจชาวบ้านระยะสั้น ๆ แทนการดูแลโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว จนกลายสภาพจากประเทศที่มั่งคั่งรุ่งเรืองไปเป็นภาวะวิกฤติที่ยาวนานและยากที่จะเยียวยา
ปัญหาเศรษฐกิจของอาร์เจนตินาที่หมักหมมมาตั้งแต่คริสต์ทศวรรษที่ 1990 จากการที่รัฐเพิ่มรายจ่ายอย่างต่อเนื่องในโครงการลดแลกแจกแถม ที่ประกาศเจตนารมณ์ว่าจะช่วยคนจน รัฐบาลสัญญาว่า เศรษฐกิจของประเทศจะเจริญเติบโต ประชาชนจะอยู่ดีกินดีมีสุข และรัฐบาลก็ได้คะแนนนิยมสูง
ประชานิยมอาร์เจนตินาจริง ๆ ไม่ใช่เพิ่งเกิด แต่เรื้อรังมายาวนานถึง 8 ทศวรรษ ตั้งแต่ในยุครัฐบาลประชานิยมของ ”ฮวน โดมิงโก เปรอน” ปี 1946 ที่เอาใจประชาชนโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมตามมา ไร้วินัยในการใช้จ่ายสร้างความเสียหายในระบบการคลัง ประเทศไม่เหลือเสบียงตุนไว้ในยามวิกฤติเศรษฐกิจ ภาระหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นแบบพุ่งพรวด จนกลายเป็นระเบิดเวลา
ขณะเดียวกันอาร์เจนตินายังมีการขาดดุลการค้ามหาศาล และเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากแบบก้าวกระโดด ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก รัฐบาลต้องประกาศพักชำระหนี้ ค่าเงินเปโซจมดิ่ง ในที่สุดนำไปสู่การล่มสลายทางเศรษฐกิจ ประชาชนกว่าครึ่งประเทศยากจนคนว่างงานจำนวนมาก เงินออมที่สะสมมาทั้งชีวิตมลายหายไปสิ้นพร้อมกับเกิดวิกฤตทางการเมืองในประเทศตามมา เช่นเดียวกันตลอด 24 ปีเศรษฐกิจไทยล้มเหลว เพราะนโยบายประชานิยมแบบมักง่ายที่พรรคการเมืองใช้สร้างคะแนนนิยม ทำให้ไม่มีวินัยการเงินการคลังจนหนี้สาธารณะพุ่งพรวดพราดเกือบ ๆ แตะเพดาน 70%
วันนี้เศรษฐกิจไทยอาจจะยังไม่ล่มสลายทันที แต่ที่ผ่านมานโยบายประชานิยมก็ทำให้ประเทศไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกโดยไม่รู้ตัว และหากยังเดินหน้าต่อถึงวันนั้น ไทยอาจจะได้ชื่อว่าอาร์เจนตินาแห่งอาเซียน
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
3 ทศวรรษที่สูญเปล่า: ผ่า 6 วงจรอุบาทก์ฉุดเศรษฐกิจไทยติดหล่มซ้ำซาก
เบื้องลึก ‘วิกฤติไดกิ้น’ ปิดงาน งดจ้าง
‘สงครามสแกมเมอร์’ ส่อแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม



